ผลงานการประพันธ์ของอาจารย์ชำนาญ นิลสุข อาจารย์สมัยมัธยม ที่ล่วงลับ
ได้เคยบรรยายความหมายของวัวลานไว้
จำได้ว่า บล๊อกเกอร์"ครูนพพล" ก็ได้เคยเขียนไว้เกี่ยวกับ วัวลานเป็นกีฬา หรือไม่
ก็ลองเข้าไปชมกันที่เอ็นทรี่ของอาจารย์เองนะครับ
ส่วนผมก็ขอนำเสนอในลักษณะความเป็นปกติของชาวเพชรบุรีต่อวัวลานนี้
ซึ่งไม่ได้มีแค่คนเก่าๆเท่านั้นที่นิยมกีฬาประเภทนี้ ชายวัย ..ฉะกัน.. ก็นิยมไม่แพ้กัน
อ้อ.. ผมไม่ได้พิมพ์ผิดหรอกครับ รุ่น..ฉะ..กัน จริงๆ ก็วัยรุ่นแรงๆ นี่แหละครับ

เช้าตรู่ ได้ยินเสียงโห่ร้อง สำเนียงแปลกๆ ของบรรดาหนุ่มๆ ที่มากับขบวนบรรทุกวัวลาน
หลังจากผ่านสมรภูมิ เสาเกียด มาเมื่อคืน
ชาวเพชรบุรี นิยมเลี้ยงวัวไว้ที่บ้าน เพราะส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา การเลี้ยงวัวถือเป็นอาชีพเสริม
สร้างรายได้ ได้ดีพอสมควร เพราะการเลี้ยงวัวบ้าน ธรรมดาๆ ก็แค่ปล่อยให้หากินตามทุ่งนา
เล็มหญ้า กินฟาง ไปตามเรื่อง พอได้ขนาด ก็ส่งขายกันไป
แต่ยังมีอีกกลุ่มนึง ที่นิยมกีฬาวัวลาน มักจะหาลูกพันธุ์จากแม่พันธุ์ที่ลักษณะดี
หรือคัดเลือก วัวเล็กที่ลักษณะดี เหมาะแก่การเป็นนักวิ่ง ขุนและฝึกซ้อมจนได้ที่
แล้วก็เสนอขายให้กับนักเล่นอาชีพ ตัวนึง ได้หลายตังมากอยู่ารคัดเลือกวัวดีๆสักตัว ต้องคัดอายุราว 4-5 ปี เป็นวัวไทยแท้นี่เหละ ต้องตัวดี
หัวไหล่หนา บั้นเอวคอดเล็ก ขาเรียวเล็ก หน้ายาว ตากลมโตใส และอีกหลายอย่าง
แต่ก็มีลักษณะที่เป็นมงคลและไม่เป็นมงคลเหมือนกัน เขาให้ดูที่ขวัญ
หรือขนที่เป็นวงกลมในตำแหน่งต่างๆ ของคนเราก็อยู่ที่หัวนั่นไง
ตำรามีเรียกไว้หลายชื่อแล้วแต่ลักษณะรูปร่าง ถ้าเป็น "ขวัญดี" ซึ่งอยู่บนยอดหนอก
ก็มีเรียกว่า "จอมปราสาท" "แกมแก้ว" "ตะลุงพาด" หรือขวัญที่อยู่ระหว่างกลางเขา
ที่เรียกว่า "สามเขา" นักเลงวัวที่มีวัวประเภทนี้อยู่ มักจะเป็นสิริมงคลต่อตนเอง และครอบครัว
ส่วน "ขวัญร้าย" เขาเรียกว่า "ไฟพระอาทิตย์" หรือ "ษีจักร" "ธรณีจม"
เป็นขวัญที่ขึ้นอยู่ระหว่างตา เชื่อว่าจะให้โทษ วัวที่มีลิ้นสีแดงก็เข้าข่ายต้องห้ามเหมือนกัน

เมื่อได้วัวมาแล้ว ก็ต้องนำไปตอน หรือชาวบ้านเรียกกันว่า "ทุบกระโปกวัว" ก่อน
เพราะเชื่อว่าหากไม่ตอน มันจะไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือฝึกและใช้งานยาก อันนี้น่าจะมาจาก
การตอนทำให้วัวมันลดอาการติดสัด ที่มักจะคุมไม่ค่อยได้ ก็เป็นได้
ตอนเสร็จ ก็นำมา "ถอนตีน" หรือซ้อมในสนาม ให้รู้กำลัง ให้วัวรู้จักลู่ทางวิ่ง
เพราะเจ้าของจะต้องรู้กำลังวัวแต่ละตัว เพื่อจัดตำแหน่งในราวให้ถูก
หากวางตำแหน่งไม่ถูกกับฝีตีน วัวนอกอาจวิ่งไม่ทันวันใน และเป็นตัวถ่วงให้เกิด
"คานหัก" หรือ วัวคานวิ่งไม่ออก จะแพ้วัวนอกเอาได้
จะต้องฝึกซ้อมกันร่วมปี กว่าจะนำมาลงสนามได้จริง วิ่งจนนิ่งไม่สะเปะสะปะ
จึงจะใช้ได้ เมื่อก่อนก็เล่นเป็นประจำปี ต่อมาได้รับความนิยมก็ เล่นได้ตลอดปี
แบ่งเป็น ออกพรรษาเรียก"ลานจริง" แต่ช่วงเข้าพรรษาก็เรียก"ลานซ้อม"
การจัดแต่ละครั้งต้องใช้เวลาเป็นปี ทั้งหาสถานที่ โฆษกเสียงดี คล้ายเชียร์เรือยาวครับ
แล้วประชาสัมพันธ์ให้เหล่านักเลงวัวได้เตรีมมตัว เตรียมข้อมูลกัน ส่วนใหญ่จะจัดกัน
คืน วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ งดแข่งวันพระ ซึ่งผู้จัดต้องไปขออนุญาติจัดเป็นงาน "มหรสพ"ด้วย
สุดท้ายคือ"บอกวัว" หรือเชิญวัวเข้าร่วมแข่งขัน พื้นที่จัดต้องเป็นลานกว้างประมาณ 5 ไร่ ซึ่งก็มักเป็นนาข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้ว
ปรับพื้นให้เรียบ พรมน้ำ และโรยฟางบางๆ ให้ลานนุ่ม วัวที่วิ่งจะได้ไม่เจ็บกีบเท้า
สำคัญลานนั้นต้องมี "เสาเกียด" ปักอยู่กลางลาน เสานี้ต้องต้านแรงดึงจากวัว 19 ตัวได้
เป็นไม้เนื้อแข็งพวกเต็งรัง สูงตระหง่าน มีพีธีการปักเสา และ
เสานี้ห้ามถอนจนกว่ามันจะผุพังไปเอง
วันแข่ง เจ้าของวัวจะนำวัวออกมาขับถ่ายนอกคอก แล้วนำไปตากแดดอ่อนๆ
เรียก "กราดแดด" เพื่อให้วัวแข็งแรง สายๆ ก็วัวกลับคอก นอกจากวัวเด่น
ที่จะนำไปวิ่งตัวสุดท้ายของราวแล้ว ก็ยังมี "พวง" คือพรรคพวกที่มีวัววิ่งดี
แต่ยังไม่ใช่พระเอก ช่วงบ่ายๆแก่ๆจะต้องอาบน้ำให้วัวทุกตัว เพื่อให้กระปรี้กระเปร่า
แล้วจูงตากแดดตอนเย็นอีกครั้ง
ตอนหัวค่ำก่อนจะนำวัวออกลาน เจ้าของวัวจะแต่งตัวให้วัวอย่างสวยงาม
ใส่"เขารอง"ที่ถักจากไหมพรมหลากสี ครอบเป็นปลอกเขา
ที่หน้าผากวัวจะมีลูกไหมหลากสีห้อยเป็นพวก เรียก "คาดเพชร"
เอากันให้สวยว่างั้นเถอะ สุดท้ายก็ต้อง...โด๊ป+.+!!!

อย่าคิดว่าเป็นยาบ้าเชียวนะ วัวลานตัวเป็นแสนเป็นล้าน ขืนใช้ ได้เสียวัวพอดี
เขาใช้ เครื่องดื่มชูกำลัง อย่างลิโพ กระทิงแดง นี่หล่ะ กับยาทัมใจ 3 ซองต่อ 1 ขวดต่อวัว 1 ตัว
และตบท้ายด้วยน้ำหวานสักหน่อย ให้วัวไม่เหนื่อยหอบง่าย
เจ้าภาพจะกำหนดพวงที่เข้าร่วมแข่งไว้ ปกติจะมี 3 พวง พวงแรก"ท้องที่"
หรือเจ้าถิ่น อีก 2 พวง จะเป็นพวงรับเชิญ เรียกว่างานนึงจะต้องมีวัวลาน 80-120 ตัว
เมื่อพร้อม โฆษกสนามจะเรียกนายพวงหรือตัวแทนมาจับสลากจัดลำดับในการผูกวัว
ใครได้เบอร์ 1 ก็จะเป็นผู้ผูกวัวก่อน แต่ตามมารยาท จะให้เจ้าถิ่นผูกวัวก่อน
การผูกวัว 1 พวง จะเล่นกันทั้งหมด 12 เปิด ในแต่ละเปิดจะมีวัวเข้าแข่ง 19 ตัว
ตัวที่ 1-17 เรียกว่า "วัวคาน"
ตัวที่ 18 เรียกว่า "วัวรอง"
และตัวที่ 19 เรียก "วัวนอก"
การแข่งอยู่ที่ วัวรอง กับ วัวนอก เท่านั้น ที่เป็นตัวประชันฝีเท้า ตัวอื่นๆเป็นตัวประคอง
ไม่ให้วัวรองกับวัวนอกวิ่งเข้าใกล้เสาเกียดเท่านั้น
เริ่มแข่งเจ้าของวัวจะนำวัวมาผูกกับเชือก "เนื่อง" หรือ "นาว" ที่ต้นเสาเกียด
เรียงกันไปจนถึงตัวที่ 18 ต้องผูกให้ได้ระยะให้พอเหมาะ หากเน้นเกินไป
วัวคานจะวิ่งไม่ออก แต่หากห่างเกินไปวัวคานอาจจะ "ปลิ้น" หรือหลุด
ไปซ้อนทับกันได้ ครบ 17 ตัว ก็นำวัวรองกับวัวนอกเข้าลานผูกทับต่อจากวัวคาน

ความสนุกเริ่มต้นตรงนี้ เมื่อเอาวัวรองกับวัวนอกเข้าลาน ซึ่งก็คือคู่ชกนั่นแหละ
ดนตรีจะบรรเลงเชิดเสียงเพลงกันสนุก เจ้าของและลูกพวงก็จะใช้ประตักคอย
แทงให้วัวออกอาการ"ริก" หรืออาการทีได้วิ่งลาน ให้วัวตื่นตัว บางทีวัวบางตัวคึก
กระโจนเข้าใส่ฝูงคน ร้านค้า ขอบลาน ทำเอาคนดูเฮกันไปเฮกันมาสนุกสนาน
กลุ่มเจ้าของก็ต้องมีหน้าที่ปราบพยศวัว แล้วเอาไปผูก คนผูกวัวก็ต้องพยายาม
ไสวัวของตัวให้"ได้หน้า" หรือล้ำหน้าวัวรองเข้าไว้ เหมือนกับชิงความได้เปรียบ
เสียเปรียบแค่ปลายลิ้นแบบม้าแข่งไง
วัวพร้อมคนพร้อม โฆษกก็เริ่มให้สัญญาณปล่อยวัว เจ้าของวัวก็จะดึงบ้างปล่อยบ้าง
อาศัยชั้นเชิงชิงไหวพริบกันก่อนได้เปรียบและปล่อยวิ่งออกไป

การแพ้ชนะจะดูที่วัว 2 ตัว วัวรอง กับวัวนอก วัวตัวไหนวิ่งนำหน้า
และสามารถลากคู่แข่งได้จึงเป็นผู้ชนะ ดังนั้นจึงไม่มีกติกาว่าต้องวิ่งกี่รอบ
วัวฝีตีนอ่อนไม่กี่รอบก็รู้ผล แต่ถ้าตัวเจ๋งๆ เจอกัน กว่าจะรู้ผล แข่งเสร็จวัวล้ม วัวน็อค ก็มี
ความสนุกสนาน มันก็แล้วแต่คนเชียร์ และเดิมพัน เรียกว่าหากวิ่งผ่าน 20 รอบ
ได้เฮ ได้ลุ้นกันเชียวหล่ะ...